บทเรียนจากความผันผวน
ในช่วง 1 สัปดาห์คือ 5 วันทำการของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระหว่างวันที่ 10-14 ตุลาคม 2559 นั้น
ดัชนีตลาดหุ้นหรือ SET index ของบ้านเรา
ลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 1,343.13 ติดลบ 161.21 หรือ 10.71% เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม โดยเทียบกับ SET ปิด 1,504.34 เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2559
ก่อนที่จะกลับขึ้นมาปิดตลาดที่ 1,477.61 ในวันสุดท้ายของสัปดาห์ 14 ตุลาคม ทำให้ติดลบเพียง 26.73
หรือ 1.77% เท่านั้น
จากข้อมูลข้างต้นจะพบว่าตลาดหุ้นมีความผันผวนเป็นอย่างมาก มีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น แน่นอนว่าคงส่งผลกระทบต่อนักลงทุนบ้างไม่มากก็น้อย
เนื่องด้วยระยะเวลาที่หุ้นตกและปรับตัวลงไปถึง 10 กว่าเปอร์เซ็นต์และปรับตัวกลับขึ้นมาภายในระยะเวลา
1 สัปดาห์นั้นคงไม่ใช่เรื่องของปัจจัยพื้นฐาน
น่าจะเป็นเรื่องของจิตวิทยาที่มีการนำข่าวลือมาหาประโยชน์ ทั้งนี้ผู้เสียประโยชน์ส่วนใหญ่น่าจะเป็นนักลงทุนที่เก็งกำไรในตราสารอนุพันธ์ คือ ฟิวเจอร์ส(Futures)
โดยเน้นไปที่ SET 50 Index Futures (TFEX) ซึ่งการเหวี่ยงขึ้นลงแรงในลักษณะนี้จะทำให้มีการบังคับขายในกรณีที่ลงทุนผิดทางทำให้เกิดความเสียหายต่อนักลงทุน
เพราะการที่หุ้นหรือฟิวเจอร์สขึ้นลงตามดีมานด์-ซัพพลายนั้น ผู้ที่มีเงินลงทุนมากสามารถลงทุนได้หลากหลายเครื่องมือเช่น
สามารถ short ทั้ง
TFEX และหรือ Single Stock แล้วขายหุ้นตามลงไปได้
หลังจากนั้นก็สามารถปิดสถานะ Short จะเปิด Open TFEX หรือ Single Stock เพิ่มอีกก็ได้
แล้วซื้อหุ้นกลับทำให้ราคาหุ้นหรืออนุพันธ์ต่างๆ ปรับตัวขึ้น จากจุดนี้จะพบว่าผู้ที่มีทุนทรัพย์มากมีความได้เปรียบอย่างมาก ทั้งนี้ทางรัฐบาลได้สั่งการให้ กลต. ตรวจสอบความผิดปกตินี้แล้ว
การตรวจสอบนั้นจำเป็นต้องใช้เวลาแต่ความเสียหายส่วนบุคคลสำหรับนักลงทุนได้เกิดขึ้นแล้ว ความเสียหายจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแนวทางการลงทุน เช่นลงทุนแนวคุณค่า
แนวโมเมนตัมหรือเก็งกำไร และผลิตภัณฑ์ที่ลงทุน
เช่น หุ้น อนุพันธ์ ต่างๆ รวมถึงประสบการณ์ในการลงทุนของแต่ละบุคคล
ในส่วนของนักลงทุนแนวคุณค่าหรือวีไอ
รวมถึงนักลงทุนหน้าใหม่ที่ลงทุนแต่หุ้นนั้นคงไม่ได้รับความเสียหายมากนั้น เพราะทั้งสัปดาห์ SET ปรับตัวลงเพียง 1.77
% เท่านั้น และที่กล่าวว่านักลงทุนหน้าใหม่ไม่เสียหายมากเพราะว่าทำอะไรไม่ถูก จึงถือไว้เฉยๆ จะนับว่าโชคดีหรือมีความสามารถ...ไม่สามารถบอกได้
ถัดมาคือนักลงทุนที่ลงทุนแนวโมเมนตัมที่พอมีประสบการณ์บ้าง จะทำการ Short Against Port (SAP) หรือขายหุ้นตัวที่ถือไว้และกำลังลงออกไปก่อนเพื่อตัดขาดทุนหรือลดต้นทุน ก่อนจะกลับไปซื้อคืนที่ราคาต่ำกว่า แต่จากสภาวะการณ์ข้างต้นด้วยระยะเวลาอันสั้นประกอบกับความกลัวที่มีคงทำให้หลายคนไม่ได้ซื้อกลับ จึงทำให้ต้นทุนแพงขึ้น
ในส่วนนักเก็งกำไรในหุ้น หากมีประสบการณ์ไม่มากพอแน่นอนว่าการเข้า-ออก
ให้ตรงจังหวะ ในระยะเวลาอันสั้นและรวดเร็วแบบนี้คงทำได้ยาก อาจทำให้สูญเสียเงินทุนในการลงทุนไปบ้างพอสมควร
และสุดท้ายที่น่าจะเจ็บหนักที่สุดคือนักเก็งกำไรตราสารอนุพันธ์ที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว
อย่างไรก็ตามในส่วนของนักลงทุนที่มีประสบการณ์คงต้องยกไว้ ด้วยความรู้
ความสามารถ
ผ่านการลงทุนมาเป็นเวลานานคงสามารถเอาตัวรอดจากเหตุการณ์แบบนี้ไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ซึ่งน่าจะเป็นเป้าหมายของนักลงทุนทุกคนที่ต้องการความประสบความสำเร็จในชีวิตการลงทุน
สุดท้ายนี้ผู้อ่านที่สนใจในการลงทุนคงต้องศึกษาข้อดีและข้อเสียของการลงทุนในแต่ละแบบให้เข้ากับจริตของตัวเอง พัฒนาแนวทางรูปแบบการลงทุนเป็นของตัวเอง รักษาตัวให้รอดปลอดภัย อย่ารอให้ใครมาบอกเราว่าต้องทำอย่างไร อาจจะไม่ทันการณ์ “อตฺตา หิ อตฺตโน
นาโถ” ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
สู้ๆ ขอให้โชคดี มีสติครับ...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น