มองธุรกิจทะลุหุ้น

ตั้งชื่อเรื่องเหมือนภาพยนตร์จีนกำลังภายในเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเหล่าจอมยุทธ์ในเมืองไทยกันบ้าง  ฮ่าๆๆ   ขณะนี้เศรษฐกิจบ้านเราฝืดเคือง   การบริโภค การจับจ่ายใช้สอยของชาวบ้านเป็นไปอย่างระมัดระวัง   เนื่องจากหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นจากปีก่อนๆ      

ภาคการส่งออกก็มีปัญหาเนื่องมาจากเศรษฐกิจโลก   หลายประเทศทั้งจากยุโรป  ญี่ปุ่น ประสบกับปัญหาทางด้านการเงิน   คงจะมีด้านการท่องเที่ยวที่ยังสามารถช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยอยู่ในเวลานี้

ทั้งนี้รัฐบาลก็พยายามทุกวิถีทางเพื่อทำให้เศรษฐกิจฟื้นคืนกลับมาโดยเร็ว        โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนเพื่อให้เกิดการจ้างงานและหมุนเวียนของเงิน     และจัดหาแหล่งเงินทุนให้กับผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก

ในส่วนของผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก  ที่ยังไม่สามารถไปลงทุนหรือขายสินค้าและบริการไปยังต่างประเทศที่มีศักยภาพได้     จำเป็นต้องดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดจากภาวะฝืดเคืองนี้จะรอแต่เพียงรัฐบาลอย่างเดียวอาจไม่ทันการณ์   

การยืดหยุ่นประคองให้ธุรกิจอยู่รอดปลอดภัยจึงเป็นภารกิจแรกๆ ของผู้ประกอบการส่วนใหญ่     เมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา   ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจรับซื้อพลาสติกเชื้อ PVC  เพื่อส่งต่อไปให้โรงงานที่อยู่ในกระบวนการรีไซเคิลพลาสติก

ทั้งนี้ราคาพลาสติกนั้นอ้างอิงตามราคาน้ำมัน   เมื่อราคาน้ำมันถูกลงราคาของพลาสติกก็ลดต่ำลงด้วย     และเมื่อการบริโภคลดลง  การผลิตใหม่ของโรงงานก็น้อยลง ตามหลักอุปสงค์และอุปทาน    เมื่อโรงงานลดกำลังการผลิตลงนั้นผู้ประกอบการก็จะขายสินค้าได้ลดลงตามกันเป็นลูกโซ่

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการคือ  1. ขาดสภาพคล่อง   เนื่องจากส่วนใหญ่มีภาระหนี้สิน   เมื่อรายได้ลดลงก็ทำให้ไม่สามารถผ่อนชำระได้ตามกำหนด   บางรายก็จำเป็นต้องเป็นหนี้เสีย (NPL) เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร    2. การคาดการณ์อนาคตที่ไม่แน่นอน    บางรายที่ใหญ่ขึ้นมาสักหน่อยยังมีความสามารถเบิกเงินเกินบัญชี (O/D) จากธนาคารได้ 

เนื่องด้วยราคาพลาสติกลดลงต่ำมากทำให้ผู้ประกอบการบางรายรับซื้อสินค้าเก็บไว้   หลังจากนั้นก็รอคอยให้ราคาพลาสติกนั้นกลับมาแล้วขายทำกำไรจะได้ส่วนต่างมหาศาล    แต่สิ่งที่น่าเป็นกังวลก็คือการเบิกเงินเกินบัญชีนั้นต้องเสียดอกเบี้ย   หากราคาพลาสติกนั้นกลับมาช้าจะทำให้มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องตามมาอย่างแน่นอน

การคาดการณ์ว่าราคาพลาสติกจะกลับมาเมื่อไร?   ไม่มีใครรู้ได้  แต่การกู้เงินมาซื้อสินค้าเก็บไว้ นับเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่ง    ผมขอภาวนาให้ราคาพลาสติกกลับขึ้นมาโดยเร็ว  จะได้มีเศรษฐีใหม่เพิ่มขึ้นอีกหลายคน

อย่างไรก็ดีจากเนื้อหาที่กล่าวมาข้างต้นพอจะนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนในหุ้นได้    ซึ่งผมพอจะสรุปได้ดังนี้ 

1. เมื่อบริษัทประสบปัญหาเศรษฐกิจคือขาดรายได้นั้น   หนี้สินเป็นส่วนสำคัญอย่างมากที่จะทำให้บริษัทขาดสภาพคล่อง     หากรายได้ต่ำและหนี้สินสูงคงจะยากที่จะหลีกหนีปัญหานี้ได้

หนี้สินเป็นเหมือนเหรียญ 2 ด้าน  ยามเมื่อเศรษฐกิจดีหนี้สินจะเป็นตัวเร่ง (Leverage) ให้ธุรกิจเติบโตเร็วขึ้น   แต่ในทางกลับกันเมื่อเศรษฐกิจไม่ดีหนี้สินก็ทำให้กระแสเงินสดของเรามีปัญหา  เป็นตัวถ่วงอย่างหนักทีเดียว

2. การคาดการณ์อนาคตและกู้เงินมาลงทุน   การคาดการณ์หรือทำนายราคาของพลาสติกหรือของหุ้นนั้นเป็นเรื่องยาก   หากเรากู้เงินคนอื่นมาลงทุนนั้นสิงที่เกิดขึ้นแน่นอนคือดอกเบี้ยและดอกเบี้ยก็เริ่มทำงานตั้งแต่วันแรกที่เราเอาเงินคนอื่นมาใช้   ยิ่งระยะเวลานานจะสร้างแรงกดดันมากขึ้นแต่ถ้าผู้ลงทุนคนนั้นมีประสบการณ์สามารถรู้วงรอบของธุรกิจนั้นๆ ก็ขอยกไว้นะครับ

ในส่วนนี้เปรียบเหมือนนักลงทุนแนวคุณค่า (VI)  ซื้อของถูกและรอคอยเวลาที่ราคากลับขึ้นมา  แต่นักลงทุนแนวนี้ส่วนใหญ่ซื้อลงทุนตามกำลังทรัพย์  ไม่กู้เงินคนอื่นมาลงทุน    เพราะดอกเบี้ยก็จัดเป็นต้นทุนอีกตัวหนึ่งด้วย   ไม่มีของฟรี   ถ้ามีใครให้ยืมเงินฟรีๆ บอกผมด้วยนะ  อยู่ที่ไหน..จะไปหาเธอ  ฮ่าๆๆ    

สุดท้ายนี้การลงทุนในหุ้นก็คือการมองให้เห็นถึงวิถีทางในการดำเนินธุรกิจของบริษัทต่างๆ    การที่เราเข้าใจถึงปัญหาที่แท้จริงในการบริหารงานของกิจการนั้นๆ  รวมถึงเศรษฐกิจของไทยและโลก  จะช่วยให้เราลงทุนด้วยความรอบคอบ  ไม่เผลอใจไปเล่นหุ้นปั่นเหมือนที่ใครๆ เขาก็ทำกัน ฮ่าๆๆ  ขอให้โชคดี มีสติครับ...

                                                                                                                          “ภูผีเสื้อ”         

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แบกเป้ไปเที่ยวทีลอซู (1)

แบกเป้ไปเที่ยวแม่ระมาด แม่สอด

แบกเป้ไปเที่ยวพบพระ แม่สอด