เรามาสร้างวินัยกันเถอะ...
ผู้อ่านคงเคยได้ยินประโยค
“ทำอะไรตามใจคือไทยแท้”
ซึ่งคงจะฝังรากลึกอยู่ในอุปนิสัยของคนไทยเกือบทุกคน เนื่องด้วยเราเป็นสังคมเกื้อหนุนอุปถัมภ์ค้ำจุน มีน้ำใจไมตรี
ทำให้การทำกิจการงานใดๆ
ก็จะเน้นความสะดวกสบายเป็นหลัก ไม่ชอบฝืนใจทำ
การทำกิจกรรมใดๆ
ที่ทำตามใจจะช่วยให้มีความสุขและงานออกมาดี
แต่ก็อาจจะมีผลเสียเช่นเดียวกันอาจทำให้งานสัมฤทธิผลช้าลงหรืออาจจะล้มเหลวก็เป็นได้ เปรียบเหมือนเหรียญ 2 ด้านซึ่งมีทั้งด้านบวกและลบ หากเราใช้ทางสายกลางจัดสมดุลให้สามรถทำงานได้ผลดีและมีความสุขควบคู่ไปด้วยคงเป็นเรื่องน่ายินดี
เริ่มต้นจากการศึกษาเล่าเรียนซึ่งผู้อ่านคงผ่านวัยนี้มาแล้วเช่นกัน
หากเราเรียนโดยใช้วิธีตามใจเช่นวันนี้อยากเรียนก็ไปเรียน
ไม่อยากไปก็หยุดหรือการที่เราไม่ทบทวนบทเรียนมัวแต่เอาเวลาไปทำสิ่งอื่น ดังนั้นผลการเรียนก็มีโอกาสที่จะออกมาไม่ดีหรืออาจจะเรียนไม่จบก็ได้
เพราะฉะนั้นหากเรามีวินัยด้วยการไปเรียนตามตารางเรียน จัดตารางเวลาอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนในช่วงเย็นของทุกวัน ดังนั้นย่อมมีโอกาสสูงที่จะจบการศึกษาและผลการศึกษาก็จะเป็นที่น่าพอใจ ส่งผลต่อการหางานทำซึ่งจะมีโอกาสมากกว่าคนที่ผลการศึกษาไม่ค่อยดี
ต่อมาในส่วนของการทำงานการทำงานที่มีวินัยจะทำให้ผลงานออกมาดี
มีความเติบโตก้าวหน้าในสายงานมากกว่าคนที่ขาดวินัย ยกตัวอย่างเช่นหากบุคคลนั้นเป็นวิศวกรฝ่ายขาย
(Sales Engineer)
และวางแผนว่าใน 1 สัปดาห์จะออกไปพบลูกค้าให้ได้อย่างต่ำ 12 ราย อาจจะเป็น 3-4 วันต่อสัปดาห์
ขณะที่เพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งไปพบลูกค้าเพียง 6-8 คนต่อสัปดาห์หรือบางสัปดาห์อาจจะไปพบน้อยกว่านั้นด้วยสาเหตุใดก็ตามสรุปก็คือขาดวินัยในการทำงาน ทั้งนี้จะเห็นว่าการที่วิศวกรฝ่ายขายที่ไปพบลูกค้ามากกว่านั้นก็จะมีโอกาสที่จะสร้างยอดขายให้กับบริษัทได้มากกว่าและส่งผลให้ก้าวหน้าในอาชีพการงานมากกว่าด้วย
นอกจากนั้นเมื่อครั้งอดีตที่ผมยังทำงานประจำอยู่นั้นได้เคยมีโอกาสไปดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น ผมได้เห็นวิถีชีวิตธรรมเนียมปฏิบัติของคนญี่ปุ่นซึ่งผมรู้สึกถึงความมีวินัยของคนญี่ปุ่นมาก ไม่น่าแปลกใจเลยที่บ้านเมืองเขาถึงเจริญก้าวหน้าอย่างเช่นทุกวันนี้
ตัวอย่างเช่นการเดินข้ามถนนเมื่อผู้ที่ต้องการข้ามถนนกดปุ่มสัญญาณตรงใต้เสาไฟจราจร เขาจะรอให้สัญญาณคนเดินข้ามเป็นสีเขียวก่อน
(ไฟแดงสำหรับรถยนต์) จึงเดินข้าม แม้ว่าก่อนหน้าจะไม่มีรถยนต์ผ่านมาสักคันเขาก็จะไม่ข้าม
อีกตัวอย่างหนึ่งผู้ผลิตสินค้า
(Supplier) ที่ญี่ปุ่นพาผมไปสังสรรค์
เขาจะพาขึ้นรถแท็กซี่ไปและกลับโดยไม่ขับรถยนต์ไปเองเพราะการดื่มแอลกอฮอลล์แล้วขับรถยนต์มีความผิดตามกฎหมายซึ่งโทษค่อนข้างรุนแรง ทั้งที่ค่ารถแท็กซี่ก็แพงมากด้วย นี่คือความมีวินัยของคนญี่ปุ่น
กลับมาสู่แง่มุมของการลงทุนก็เช่นเดียวกันหากเรามีวินัยในการลงทุนจัดสรรเวลา ทำตารางในการพัฒนาและเรียนรู้การลงทุนย่อมทำให้เราถึงเป้าหมายได้เร็วกว่าการทำตามใจอย่างแน่นอน
ตัวอย่างเช่นใน
1 สัปดาห์เราอาจจะจัดเวลา
1 วันสำหรับติดตามข่าวสารทางธุรกิจเพื่อคาดการณ์อนาคต 1 วัน สำหรับการอ่านงบการเงิน 1
วันสำหรับการศึกษาสัญญาณทางเทคนิค
อีก 1 วันสำหรับการวางแผนการลงทุนและอ่านหนังสือการลงทุนต่างๆ
เป็นต้น
ทั้งนี้เวลาอาจปรับแต่งให้เข้ากับตัวเองตามความเหมาะสม
อย่างไรก็ดีวินัยในการลงทุนอีกแง่มุมหนึ่งคือการดำเนินการตามแผนการที่ได้วางไว้
หากถึงจุดขายหรือจุดตัดขาดทุนจำเป็นต้องทำตามนั้น หากเราไม่ทำก็อาจจะส่งผลให้เราเสียหายได้ ผมก็เคยเสียหายจากการขาดวินัยมาแล้วเช่นกัน ก็อย่างว่าล่ะมนุษย์ปุถุชนธรรมดาการยอมเสียเงินเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับได้
ดังนั้นสำหรับผู้อ่านที่ต้องการลงทุนแนวโมเมนตัมนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีวินัยในการตัดขาดทุนอย่างเคร่งครัด ฝึกทำบ่อยๆ (เสียเงินบ่อยๆ ยากนะ! ขอบอก ฮ่าๆๆ)
ไม่อย่างนั้นท่านจะกลายเป็นนักลงทุนวีไอจำเป็น
อย่างไรก็ตามหากเราสามารถมีวินัยกับทุกสิ่งโดยพอดี
(เอามาประยุกต์ให้เข้ากับคนไทยสักหน่อย!!!)
เดินทางสายกลางและมีความสุขไปด้วย
คงจะส่งผลให้ประสิทธิผลของกิจการงานใดๆ
ดีขึ้นอย่างแน่นนอน ผมเชื่ออย่างนั้น...
ขอให้โชคดี
มีสติครับ...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น