Burn Rate กับจุดคุ้มทุน
ช่วงหลังๆ
ท่านผู้อ่านเคยได้ยินคำว่า Burn Rate
กันบ้างหรือไม่?
นิยมใช้กับพวก Startup ที่ทำการคิดค้น applications หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ในความหมายของคำว่า Burn Rate คือ อัตราการเผาผลาญเงินในการทำธุรกิจ
การคิดค้นสิ่งประดิษฐ์หรือ Applications ใหม่
ก่อนที่จะได้รับความนิยมนั้นจำเป็นต้องลงทุนในการโปรโมทให้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้นได้รับการยอมรับในวงกว้าง เกิดการบอกต่อ
เล่าขานในแวดวงผู้ใช้งาน ดังนั้นเงินทุนในการสร้างแบรนด์หรือสินค้าเป็นเรื่องที่ผู้พัฒนานวัตกรรมนั้นจำเป็นต้องบริหารจัดการเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายด้วย
ทั้งนี้จำนวนเงินทุนจะมากหรือน้อยคงขึ้นอยู่กับสเกลของธุรกิจหรืออาจจะค่อยๆ พัฒนาไปตามเงินทุนที่มี
แต่แบบหลังนี้อาจทำให้ธุรกิจโตไปค่อนข้างช้า
ด้วยเหตุนี้เจ้าของไอเดียจำต้องมองหานายทุนที่พร้อมจะร่วมลงทุนเพื่อให้ธุรกิจโตไว
นอกจากนั้นทางภาครัฐยังหาทางสนับสนุนโดยพยายามผลักดันกองทุนสตาร์ทอัพเพื่อช่วยให้มีผู้ประกอบการไทยทางด้านนี้มากขึ้น
ส่วนการเริ่มต้นทำธุรกิจด้านอื่นนั้นก็จำเป็นต้องใช้เงินทุนเช่นเดียวกัน
บางอุตสาหกรรมอาจจำเป็นต้องใช้เงินทุนจำนวนมากเพื่อสร้างการจดจำของลูกค้า การสร้างแบรนด์หรือการขอสัมปทานจากรัฐ
อย่างไรก็ตามหากจะมองว่าการลงทุนบางอย่างเปรียบเหมือน
Burn Rate คงไม่ผิดนัก
ดังนั้นควรจะนำมาคิดเป็นต้นทุนเพื่อใช้ในการคิดคำนวณหาจุดคุ้มทุน ผลตอบแทนและความเสี่ยง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือค่าใบอนุญาตทีวีดิจิตอล ค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่โทรคมนาคม ฯ
ถึงขณะนี้จะพบว่ามีผู้ขอยกเลิกใบอนุญาตทีวีดิจิตอลแล้ว
1 ราย และมีข่าวทางสื่อต่างๆว่าจะมีผู้ขอยกเลิกอีกประมาณ
5 ราย ทั้งนี้จะพบว่าใน
1-2 ปีแรก
ผู้ประมูลได้จำเป็นต้องลงทุนมหาศาลเพื่อสร้างคอนเทนท์ต่างๆ ขณะที่รายได้จากโฆษณาไม่เข้าตามเป้าที่วางไว้ เพราะมีคู่แข่งมากขึ้นและเศรษฐกิจโดยรวมซบเซา
จากข้อมูลข้างต้นจะพบว่าช่วงปีแรกๆ นั้นดูเหมือนจะเป็น
Burn Rate เพราะผู้ประกอบการรู้อยู่แล้วว่ารายได้จะไม่พอกับรายจ่าย แต่เมื่อประกอบการจริงกลับพบว่ารายได้นั้นต่ำกว่าที่คาดมาก ทำให้จุดคุ้มทุนที่ประเมินไว้เบื้องต้นต้องขยับออกไป ต้องใช้เวลานานขึ้น
ถ้าเงินทุนไม่มากพอก็จำต้องเลิกกิจการเพื่อหยุดขาดทุน
ก่อนหน้านี้ผมได้อ่านบทสัมภาษณ์ผู้บริหารของกิจการทีวีดิจิตอลรายหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดฟุตบอลต่างประเทศ
เนื่องจากคอนเทนท์นี้สามารถเรียกผู้ชมให้ติดตามรับชมได้โดยง่าย
ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายเข้าไปประมูลแข่งกันเพื่อให้ได้สิทธิ์นั้น
ด้วยเหตุนี้ทำให้ค่าลิขสิทิ์มีราคาค่อนข้างสูง เมื่อนำมาประกอบธุรกิจเชิงพาณิชย์จึงทำให้ขาดทุนแต่เป้าหมายของผู้ประกอบการที่ประมูลได้อาจต้องการสร้างการจดจำมากกว่าผลกำไรก็เป็นได้
ผู้บริหารท่านนี้กล่าวว่าทางบริษัทได้สู้ราคาตามต้นทุนที่สามารถทำกำไรได้ เมื่อราคาสูงกว่านั้นจึงไม่แข่งขันต่อเพราะจะไม่คุ้มทุน ดังนั้นจึงหันมาสร้างคอนเทนท์กีฬาอื่นขึ้นมาแทนด้วยตัวเอง ซึ่งได้เรตติ้งค่อนข้างดีเสียด้วย นี่คือกลยุทธ์ของบริษัทนี้ที่ยืดหยุ่นเพื่อสร้างผลกำไรให้แก่ผู้ถือหุ้น
อย่างไรก็ดีหากเราประกอบธุรกิจจริง เช่น
หากเราจะขายอาหารหรือเครื่องดื่ม เช่น
ก๋วยเตี๋ยว กาแฟ ฯ เราคงต้องเลือกดูทำเลที่เหมาะสมซึ่งจำเป็นต้องเสียค่าเช่าที่ไปก่อน(ค่าเช่าที่เปรียบเหมือน Burn rate) กว่าที่จะมีรายได้กลับเข้ามาคงต้องใช้เวลาในการคืนทุนบ้างหรืออาจจะไม่รอดก็ได้ หากรายได้ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
ในแง่มุมของการทำธุรกิจคงต้องประเมิน
Burn Rate กับจุดคุ้มทุนและความเสี่ยงให้ดี
ส่วนในแง่ของการลงทุนในตลาดหุ้น
เราอาจจะต้องคอยติดตามข่าวสารการลงทุนของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ
ที่เราสนใจว่ามีการลงทุนที่ใหญ่เกินไปหรือไม่ ?
ความสามารถของผู้บริหารในการจัดการเป็นอย่างไร? ผลลัพธ์เป็นอย่างไร?
หากเราเห็นว่ามีความเสี่ยงสูงก็อาจจะหลีกเลี่ยงไปก่อน
ฝึกประเมินและติดตามผลไปด้วยจะช่วยให้เรามีความชำนาญมากขึ้น เป้าหมายเราก็จะชัดขึ้นเรื่อยๆ ขอให้โชคดี มีสติครับ...
“ภูผีเสื้อ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น