Climate Change

หลายบทความที่ผ่านมาได้พาผู้อ่านไปท่องเที่ยวที่จังหวัดตาก   ผู้อ่านคงเต็มอิ่มกับการเดินทางพักผ่อนในช่วงสิ้นปีกันแล้ว     ก็กลับมาสู่โหมดแห่งการทำมาหากิน   การลงทุน  การเลี้ยงชีพชอบกันต่อไป...สาธุ  ฮ่าๆ    

ช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมาพวกเราคงได้ประสบพบเจอกับอากาศหนาวฉับพลัน (Climate Change) กันทั่วประเทศ    คราวนี้ต้องขอบอกว่าอากาศหนาวมากทีเดียว  หลายท่านอาจไม่ทันตั้งตัว   มีผู้เสียชีวิตหลายรายจากเหตุการณ์นี้ 

สำหรับผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสามารถปรับตัวเข้ากับสภาวะดังกล่าวได้     แต่ก็มีผู้คนอีกมากมายที่เจ็บไข้ได้ป่วย   ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน      ทั้งนี้เหตุการณ์ที่อากาศเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ถือเป็นครั้งแรกเท่าที่ผมจำความได้   และมีการคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นอีกตามสภาพภูมิอากาศของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป

ในส่วนของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของบ้านเราในช่วงปลายปี 58 ต่อเนื่องถึงต้นปี 59  ได้เกิดสภาวะที่ราคาหุ้นบลูชิพตกลงอย่างรวดเร็ว   ผมขอเรียกว่า “Climate Change” ในตลาดหุ้น    หุ้นบลูชิพในกลุ่มธนาคาร  พลังงานและสื่อสาร  ซึ่งใครๆ คิดว่ามีความปลอดภัยหรือมีเสถียรภาพนั้นราคาลดลงเร็วเหมือนกับหุ้นปั่น

หุ้นหลายตัวมีราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (P/BV)   แต่ราคาก็ยังปรับลงจนถึงทรงตัว   ทั้งนี้ก็มีการคาดการณ์ว่าเกิดจากหลายสาเหตุ   เช่นกระแสเงินไหลออก (fund flow)  กลุ่มธนาคารนั้นเกิดจากสภาวะเศรษฐกิจ   กลุ่มพลังงานเกิดจากอุปสงค์ อุปทานและกลุ่มสื่อสารเกิดจากการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ  ต้นทุนทางธุรกิจที่สูงขึ้น

อย่างไรก็ตามการปรับลงของหุ้นบลูชิพรอบนี้คงช่วยให้นักลงทุนได้เห็นถึงความไม่แน่นอน  (ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน) ของตลาดหุ้น    ความเชื่อเดิมที่หุ้นบลูชิพจะมีการเคลื่อนไหวต่อวันอย่างช้าๆ   เริ่มสั่นคลอน   เพราะราคาปรับตัวลงบางวันมากกว่า 5%    บางวันก็ปรับตัวสูงเช่นเดียวกัน

เหตุการณ์นี้คงทำให้นักลงทุนได้เห็นถึงสภาพจิตใจของตัวเอง     การที่หุ้นบลูชิพลงมามากทำให้นักลงทุนที่ถือหุ้นตัวนั้นๆ อยู่ จะได้เห็นว่าตัวเองมีความรู้สึกอย่างไร?   ยอมรับกับตัวเลขที่ขาดทุนได้มากน้อยเท่าใด    บางคนอาจจะยอมตัดขาดทุนไปแล้ว  หรือบางคนยังคงทนถืออยู่  หรือบางคนมองเห็นโอกาสซื้อเพิ่มรอรอบใหม่

อย่างไรก็ดีไม่มีใครรู้ว่าเมื่อใดที่ราคาหุ้นจะกลับมาเป็นขาขึ้น  อาจจะกินเวลาสั้นหรือยาวนานก็ได้   ดังนั้นกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญในการลงทุน   หากผู้อ่านมีทุนทรัพย์และพิจารณาแล้วว่าสามารถซื้อเพื่อรับเงินปันผลและไม่สนใจเรื่องเวลา    ก็หาจังหวะเข้าซื้อเพื่อรอขายทำกำไรได้

ถ้านักลงทุนมีทุนน้อยจำเป็นต้องกำหนดจุดทำกำไร (Take Profit) หรือ (Stop Loss) เพื่อถือเงินสดไว้ซื้อที่ต่ำในรอบต่อไป      ทั้งนี้ถ้าติดดอยในคราวนี้ก็ถือเป็นประสบการณ์อันมีค่า  เรียนรู้และพัฒนาตัวเองต่อไป   ขอเพียงให้เราสามารถหากลยุทธ์ในการลงทุนให้ตรงกับจริตของตัวเองให้เจอ

อนึ่งสำหรับนักลงทุนที่ฟังเขาว่า “ตัวนั้นดี  ตัวนี้มา”  คงได้รับประสบการณ์เช่นเดียวกัน   เพราะตอนเขาบอกขายเราอาจจะไม่ได้ฟัง   หรือตอนเขาบอก ราคาก็ปรับลงมามากแล้วทำให้เราไม่กล้าขาย  สุดท้ายเราคือคนที่เสียหาย   เงินของเรา  จะได้หรือเสีย  ขอให้เราได้เรียนรู้ ฝึกฝนดีกว่าครับ...

ตลาดหุ้นมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอด  สิ่งที่ไม่เคยเกิดก็เกิด  สิ่งที่เคยเกิดก็อาจจะไม่เกิด  การขึ้นหรือลงแต่ละครั้งขอให้ราได้เรียนรู้  ฝึกฝนหากลยุทธ์ในการลงทุนของเราให้เจอ   ต้องมีวันของเราอย่างแน่นอน  ผมเชื่ออย่างนั้น    ขอให้โชคดี มีสติครับ...

                                                                                                                          “ภูผีเสื้อ”          

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แบกเป้ไปเที่ยวทีลอซู (1)

แบกเป้ไปเที่ยวแม่ระมาด แม่สอด

แบกเป้ไปเที่ยวพบพระ แม่สอด