ชิงความได้เปรียบ...

ในโลกทุนนิยมนี้คงหนีไม่พ้นสภาวะของการค้า การแข่งขัน   ใครๆ ก็ต้องการที่จะอยู่รอดปลอดภัย  ดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืน     ดังนั้นการหลีกเลี่ยงการแข่งขันจึงเป็นไปได้ยาก  ทำให้หลายองค์กรต้องพัฒนาตัวเองเพื่อสร้างความได้เปรียบ  เช่นการสร้างขนาดธุรกิจให้ใหญ่เพื่อสร้างต้นทุนให้ต่ำ ฯ

ความได้เปรียบที่เห็นได้ชัดคือการที่มีเงินทุนที่สูงกว่า   การเริ่มต้นหรือสร้างธุรกิจขึ้นใหม่นั้นเงินทุนเป็นสิ่งสำคัญมาก   หากใครมีมากก็สามารถดำเนินธุรกิจได้ง่ายกว่า   รวมถึงต้นทุนทางการเงิน เช่นการขอกู้เงินจากธนาคาร หรือแหล่งอื่นๆ อาจจะง่ายกว่า  เพราะมีส่วนของทุนสูงกว่า

อย่างไรก็ตามในด้านเงินทุนนี้น่าจะเป็นส่วนที่เราต้องยอมรับว่า   บางคนอาจจะทำบุญมามากกว่า  ส่งผลให้มีทรัพย์สมบัติมากกว่า   สามารถประกอบธุรกิจได้ง่ายและเร็วกว่าผู้ที่ไม่มีเงินทุนหรือเริ่มเก็บออมสะสมเงินทุน    ทั้งนี้ความได้เปรียบเสียเปรียบในส่วนนี้คงไม่สามารถแก้ไขให้เท่าเทียมได้ในโลกทุนนิยม

เมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา  ผมได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนพูดคุยกับเพื่อนร่วมวิ่งที่สวนสุขภาพใกล้บ้าน   หัวข้อเรื่องถนนพุทธมณฑลสาย 5 เพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่นานและเปิดใช้แล้ว    การจราจรค่อนข้างคล่องตัวกว่าเมื่อเทียบกับถนนพุทธมณฑลสาย 4

นอกจากนั้นการเดินทางไปตลาดน้ำลำพญา อ.บางเลน ที่ต้องไปผ่านแยกตรงสถานีตำรวจพุทธมณฑล  ต้องผ่านมหาวิทยาลัยมหิดล(ศาลายา)นั้น  ปัจจุบันนี้การจราจรติดขัดมาก  ถนนแคบ รถยนต์มาก  คู่สนทนากล่าวว่ารถติดอยู่ตรงจุดนั้นนานเกือบครึ่งชั่วโมง    ซึ่งก่อนหน้านั้นผมก็ใช้เส้นทางนี้เช่นเดียวกันพบว่าการจราจรค่อนข้างหนาแน่น

ปัจจุบันผมใช้ทางเลี่ยงแยกบริเวณดังกล่าวจากคำแนะนำของเพื่อนที่เป็นคนพื้นที่  โดยใช้เส้นพุทธมณฑลสาย 5 ตรงผ่านเข้าไปข้ามสะพานรถไฟและไปออกในทางหลักเดิม    ทำให้ไม่เจอปัญหารถติดและได้บอกต่อไปยังคู่สนทนาเพื่อใช้เส้นทางดังกล่าว

ทั้งนี้บทสรุปที่ได้พูดคุยกับคู่สนทนาคือ “ใครมีข้อมูลมากกว่าได้เปรียบ”   ประหยัดทั้งเวลา  ค่าน้ำมันรถและมีสุขภาพจิตดีอีกด้วย    ด้วยเหตุนี้ผมจึงได้ข้อคิดว่าความได้เปรียบบางอย่างเราไม่สามารถเทียบเคียงได้  แต่บางอย่างเราสามารถเทียบเคียงหรือชิงความได้เปรียบได้เช่น “ข้อมูล”

ในยุคอินเทอร์เน็ตครองเมือง การเข้าถึงข้อมูลทำได้โดยง่ายขึ้นอยู่กับความใส่ใจและความขยันของบุคคลนั้นๆ   แต่คำถามคือเมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว   เราจะทำอย่างไรต่อไปต่างหาก?     จากตัวอย่างข้างต้นหากเราเจอปัญหาอยู่แล้วและมีคนมาแนะนำเส้นทางใหม่  ผู้อ่านจะทำอย่างไร?

ทางเลือกแรกคือไม่เชื่อหรืออาจจะไม่กล้าลองอะไรใหม่ๆ  ก็จะใช้เส้นทางเดิมๆ  ยอมเสียเวลากับรถติดอยู่อย่างนั้นแล้วภาวนาให้หน่วยงานใดๆ  เข้ามาแก้ปัญหาข้างต้น     ทางเลือกที่สองคือไปตามเส้นทางที่มีคนแนะนำ ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีความเสี่ยงอยู่เป็นเรื่องปกติ เพราะความไม่รู้ของเรานั่นเอง

หากผู้ที่ไม่ต้องการเสี่ยงก็คงเลือกข้อแรก  แต่สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้คงเลือกข้อที่สองและจำต้องพิสูจน์ว่าเส้นทางนั้นมีอยู่จริงด้วย    แต่ถ้าเขาบอกทางมาแล้วเราไม่จำหรือจำไม่ได้อาจจะเสียเวลามากกว่าเก่า  นี่คือความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น

ด้วยเหตุที่กล่าวมาทั้งหมดเราสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนได้  การที่เรามีข้อมูลมากกว่านั้นย่อมมีความได้เปรียบ    เช่น การรู้แหล่งที่มาของรายได้  คู่แข่ง  แนวโน้มราคาของสินค้าหรือวัตถุดิบ ฯลฯ    นอกจากนั้นการที่มีใครมาแนะนำช่องทางการลงทุน  เราก็ควรทำการพิสูจน์ด้วย  ไม่ใช่ฟังหรือเชื่อแบบหลับหูหลับตา

เพราะการลงทุนนั้นเป็นการสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเราเอง    การรับข้อมูลใดๆ มาก็ควรที่จะพิสูจน์ก่อนที่จะเชื่อ    ผมเชื่อว่าคนที่แนะนำเราเขาหวังดี  แต่บางครั้ง  บางเรื่องอาจจะไม่เข้ากับจริตของเราก็ได้     ดังนั้นการเสพข้อมูลและการนำไปใช้จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
คำว่า “ได้เปรียบ เสียเปรียบ”  นั้นฟังดูแล้วผู้อ่านอาจรู้สึกไม่ดี   แต่มีอยู่จริงในสังคม  ขอให้เราได้เปรียบในเรื่องที่ถูกทำนองคลองธรรม   ด้วยความขยัน ความอยากรู้..เพราะชีวิตต้องเดินต่อ   ขอให้โชคดี มีสติครับ...

                                                                                                                          “ภูผีเสื้อ” 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แบกเป้ไปเที่ยวทีลอซู (1)

แบกเป้ไปเที่ยวแม่ระมาด แม่สอด

แบกเป้ไปเที่ยวพบพระ แม่สอด