ความฉลาดทางการเงิน
ขณะขับรถได้ยินเสียงโฆษณาทางวิทยุว่า “ความฉลาดทางการเงิน” จนผมสะดุดกับวลีนี้ขึ้นมา
คิดว่าน่าจะช่วยกระตุ้นให้ใครหลายคนได้ตระหนักถึงความสำคัญทางการเงิน ประกอบกับช่วงต้นเดือนมิถุนายน ปลายสัปดาห์แรก
ธนาคารทหารไทยได้ประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากแบบออมทรัพย์ลงไปที่ 0%
เป็นประวัติศาสตร์ของบ้านเราที่ฝากเงินกับธนาคารแล้วไม่ได้ดอกเบี้ย
แต่ไม่ทันข้ามวันก็ไม่สามารถทนต่อการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จนต้องกลับไปที่อัตรา 0.125% เหมือนเดิม ปรากฎการณ์ลูกโซ่ตามมามากมายในสัปดาห์ต่อมา
ทั้งนี้มีนานาทรรศนะ หลายแวดวง นักการเงิน การธนาคาร นักเศรษฐศาสตร์และนักคอลัมนิสต์หลายท่าน ผมขอยกตัวอย่างคร่าวๆ เช่น
บางท่านแสดงความคิดเห็นว่าความจริงแล้วดอกเบี้ยเงินฝากติดลบไปแล้ว โดยมองในแง่ของการเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ
ของธนาคาร เช่น ค่าธรรมเนียมจากการโอนเงิน
ฯ
บางท่านแสดงความคิดเห็นว่าคนไทยส่วนใหญ่ 60% เป็นคนหาเช้ากินค่ำ ไม่มีความรู้ทางด้านการเงิน อยากให้ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบหรือผู้บริหารการเงิน
การธนาคารเห็นใจชาวบ้าน และเสนอให้มีการจัดการเรียนการสอนให้ความรู้ทางการเงินแก่นักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมหรือมัธยม
นอกจากนั้นบางท่านยังเป็นห่วงผู้สูงอายุที่ไม่มีรายได้แล้ว
จะหวังดอกเบี้ยเงินฝากมาดำรงชีพอาจจะเป็นไปได้ยากที่จะให้ดอกเบี้ยสูงเหมือนก่อนที่บ้านเราจะประสบกับวิกฤตเศรษฐกิจ
เพราะดอกเบี้ยคงจะต่ำแบบนี้อีกนานทีเดียว และยังแสดงความห่วงใยด้วยการคำนวณเงินที่ควรเก็บสะสมไว้ใช้จ่ายหลังเกษียณ
ในส่วนของผมเองนั้นได้ไปทำธุรกรรมที่ธนาคารเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม เห็นอัตราดอกเบี้ยที่ประกาศอยู่บนป้ายไฟ LED แล้วอุทานในใจ
(ผู้อ่านคงพอเดาได้...โอ้ แม่เจ้า ฮ่าๆ) ออมทรัพย์ 0.5% ประจำ 3 เดือน
0.9% ประจำ 6 เดือน 1.15% และประจำ 12 เดือน 1.30%
เมื่อผู้อ่านที่เห็นข้อมูลข้างต้นที่ผมเกริ่นนำมา รู้สึกอย่างไร? ยังจะคงฝากเงินไว้กับธนาคารเฉยๆ
เหมือนแต่ก่อน
จะรอให้อัตราเงินเฟ้อกลับมาสูงขึ้นจนมูลค่าของเงินเราลดลงไปเรื่อยๆ หรือไม่? บทความที่แล้วผมได้กล่าวถึงการออมเงินซึ่งเป็นพื้นฐานเริ่มต้น
(บทความ “อดออมสักนิด..เพื่อชีวิตที่มั่งคั่งในวันหน้า”) เพื่อเป็นเงินลงทุนสร้างอนาคต
แต่เห็นอัตราดอกเบี้ยแบบนี้แล้วเราจะปล่อยเงินไว้เฉยๆ
ได้หรือ
หากผู้อ่านเพิ่งเริ่มทำงานหรือเก็บเงินอาจต้องรอเวลาสักนิดให้เงินโต โดยระหว่างนี้ก็สามารถศึกษาหาวิธีในการสร้างมูลค่าของเงินให้เพิ่มขึ้น ส่วนผู้อ่านที่มีเงินเก็บมากแล้ว ก็ควรศึกษาและลงทุนควบคู่กัน
ตัวอย่างเช่นการซื้อกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
เช่นโรงไฟฟ้า ระบบขนส่งมวลชน ระบบโทรคมนาคม
ฯ ปีที่ผ่านมาบางกองทุนให้ปันผลมากกว่า
5% นอกจากนั้นยังมีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ฯ
การเริ่มต้นลงทุนในกองทุนรวมจำพวกนี้จะไม่ผันผวนมากนัก
หลังจากนั้นค่อยๆ
พัฒนาศึกษาลงทุนในรูปแบบของตัวเอง ค่อยๆ เรียนรู้ ประสบการณ์ที่ได้จะช่วยให้เรามีความสามารถหรือความฉลาดทางการเงินมากขึ้นตามลำดับ
อนึ่งการลงทุนมีความเสี่ยงจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุน
และอีกวลีหนึ่งซึ่งมาดังช่วงหลังคือการไม่ลงทุนก็มีความเสี่ยงเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ดีความฉลาดทางการเงินไม่ได้มีเพียงมุมของการลงทุนเท่านั้น การประหยัดภาษีที่ทางภาครัฐได้ออกกฎเกณฑ์เพื่อจูงใจให้ประชาชนได้ออมเงินนั้น
ก็เป็นสิ่งที่ผู้อ่านควรทำการศึกษาเพิ่มเติมและเก็บเกี่ยวสิทธิ์ประโยชน์ตรงนี้ไว้เพื่อความมั่นคงของชีวิตและครอบครัวในภายภาคหน้า เสียดายขณะที่เราเรียนหนังสือไม่เคยได้เรียนรู้เรื่องการเงินมาก่อน
ในส่วนนี้ผมเห็นด้วยกับคมลัมน์นิสต์ท่านหนึ่งที่เสนอให้มีการสอนเรื่องการเงินให้กับนักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมหรือมัธยม เพราะหากนักเรียนมีความรู้ น่าจะทำให้เกิดการออมเงิน การลงทุน
รู้จักการใช้เงิน
คุณค่าของเงินและมีเป้าหมายในชีวิตมากขึ้น
ส่วนตัวผมเองก็เริ่มศึกษาจริงจังหลังจากทำงานได้สัก
3-4 ปี
ก็เมื่อตอนที่มีรายได้เข้าเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี
เสียดายเวลาที่ผ่านไป
ถ้าลงทุนตั้งแต่เริ่มทำงาน
ไม่แน่ป่านนี้ผมอาจเป็นเศรษฐีไปแล้ว...ก็เป็นได้ ฮ่าๆๆ
ความฉลาดทางการเงิน แค่ชื่อฟังแล้วใครๆ ก็คงอยากเป็นแบบนั้น แต่เราจะเป็นไม่ได้เลย ถ้าเราไม่ลงมือทำ ความฉลาดทางการเงิน...สร้างได้ ขอให้โชคดี มีสติครับ...
“ภูผีเสื้อ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น