เมื่อธุรกิจผิดคาด...

หากย้อนหลังไปสัก 2-3 ปี ก่อนที่จะมีทีวีดิจิตอล  การดูทีวีแบบบอกรับสมาชิกที่ลูกค้าจำต้องจ่ายค่ารายเดือนเพื่อรับชมรายการต่างๆ  รวมถึงพรีเมียร์ลีกที่เป็นคอนเทนท์แม่เหล็กนั้นเป็นที่นิยมอย่างมาก   มีผู้ประกอบการในบ้านเรา 3-4 รายแข่งกันประมูล   เพื่อให้ได้สิทธิ์ในการเผยแพร่และหากำไรทางธุรกิจ

แต่การประมูลครั้งก่อน (3 ปีที่แล้ว)นั้นมีผู้ประกอบการรายหนึ่ง   ซึ่งได้นักลงทุนชื่อดังที่มีความชำนาญด้านการพลิกฟื้นกิจการเข้ามาถือหุ้น   คงต้องการนำรายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีกนี้มาใช้ประโยชน์ทางธุรกิจและสร้างภาพลักษณ์ของบริษท  จึงเข้าประมูลด้วยมูลค่าสูงหลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับค่าลิขสิทธิ์คราวก่อนๆ

ด้วยต้นทุนที่สูงนั้นทำให้มีความจำเป็นต้องหายอดสมาชิกให้มากพอที่จะมาชดเชยค่าลิขสิทธิ์นั้น    โดยเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมทางผู้ประกอบการ ได้ประกาศยกเลิกการให้บริการ โดยทางลูกค้าจะไม่สามารถรับชมรายการต่างๆ ของบริษัท ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2559 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ทางบริษัท ฯ ให้เหตุผลว่าด้วยภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวย  จึงจำต้องยุติการให้บริการ    ในมุมมองของผู้เขียนนั้นเห็นว่าลูกค้าคงต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายในช่วงเศรษฐกิจฝืดเคือง  อีกทั้งยังมีทางเลือกในการรับชมรายการอื่นๆ  ทางทีวีดิจิตอลที่มีฟรีทีวีเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตามในส่วนของทีวีดิจิตอล  หากผู้อ่านได้ติดตามข่าวมาเป็นระยะๆ ก็พอจะทราบดีว่ามีผู้ประกอบการที่ต้องประกาศเลิกกิจการไปก่อนหน้านี้แล้ว   และยังมีอีก 4-5 รายที่ยังอยู่ระหว่างการต่อสู้  การดำเนินการให้อยู่รอดทางธุรกิจต่อไป  ส่วนผู้ประกอบการที่มีรายการเป็นที่น่าสนใจก็กำลังโตวันโตคืนทีเดียว

จากข้อมูลข้างต้นการประกอบธุรกิจนั้นมีทั้งที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ      เริ่มต้นทุกคนคงคาดหวังหรือคาดการณ์ว่าธุรกิจจะสร้างผลตอบแทนให้ได้เป็นอย่างดี   จึงเริ่มลงมือทำตามแผนธุรกิจที่ได้วางไว้  ส่วนผลลัพธ์นั้นบางครั้งเราก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าจะเป็นเหมือนที่เราคิด 100% หรือไม่?

ดังนั้นเราจึงต้องคอยติดตามผลและปรับเปลี่ยนแผนการหรือกลยุทธ์ให้เหมาะกับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น   ทั้งนี้หากผู้ประกอบการไม่สามารถสร้างรายได้ให้เข้ามามากกว่ารายจ่ายต่อเนื่อง  ยาวนาน  แน่นอนว่าทางออกที่ดีที่สุดคือการปิดกิจการ   

ในความเป็นจริงคงไม่มีผู้ประกอบการรายใดเลือกที่จะปิดกิจการ   หากปลุกปล้ำธุรกินนั้นมากับมือคงจะหาทางสู้ทุกวิถีทาง    บางครั้งไปกู้หนี้ยืมสินมาสู้ต่อถ้าโชคดีรอดก็สามารถพลิกฟื้นกลับมาได้  แต่ก็มีหลายรายที่ไม่สามารถไปต่อคงต้องประเมินสถานการณ์ตามความเป็นจริง  ไม่เข้าข้างตัวเอง

อย่างไรก็ดีหากเรานำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนในหุ้นจะพบว่า   1.หากเรามีต้นทุนที่สูง การทำกำไรหรือหาประโยชน์จากกิจการหรือหุ้นนั้นๆ ย่อมยากกว่าการมีต้นทุนที่ต่ำกว่า    

2. หากการลงทุนแล้วผิดทางหรือผลประกอบการไม่ดีดังที่เราคาดไว้   เราก็สามารถพิจารณาขายหรือหยุดการขาดทุนเหมือนกับผู้ประกอบการข้างบนที่ใช้วิธีการปิดกิจการ    ซึ่งการปิดกิจการจากการลงทุนในหุ้นสะดวกกว่าการปิดกิจการในธุรกิจจริงๆ อยู่มาก

การประกอบธุรกิจคือการคาดการณ์อนาคตซึ่งไม่ต่างกับการลงทุนในหุ้น  แต่สิ่งที่ต่างกันคือธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจะสร้างกระแสเงินสดได้มากกกว่า     และหากธุรกิจไม่เป็นไปอย่างที่คิดการเลิกกิจการนั้นยากกว่าการลงทุนในหุ้นมาก     

ทุกสิ่งอย่างมี  2 ด้านเสมอมีทั้งบวกและลบ  ดังนั้นเราจำต้องศึกษา  ค้นคว้า  ฝึกคาดการณ์  ติดตามผล  อ่านข่าวเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ต่างๆ  รวมถึงศึกษาประวัติของผู้ที่ประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ  เพื่อเรียนลัด ปรับตัว  ช่วยย่นย่อระยะทางสู่เป้าหมายได้เร็วขึ้น สู้ๆ    ขอให้โชคดี มีสติครับ...

                                                                                                                          “ภูผีเสื้อ”         

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แบกเป้ไปเที่ยวทีลอซู (1)

แบกเป้ไปเที่ยวแม่ระมาด แม่สอด

แบกเป้ไปเที่ยวพบพระ แม่สอด