หุ่นยนต์จะมาแทนที่มนุษย์?
เมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาผู้เขียนได้ไปใช้บริการของสถานตรวจสภาพรถเอกชน
หรือ ตรอ. ชื่อดังที่มีสาขามากมายแห่งหนึ่งบริเวณใกล้กับที่พักอาศัย
เพื่อนำไปใช้ในการต่อภาษีรถยนต์ประจำปีกับกรมการขนส่งทางบก สำหรับผู้ที่มีรถยนต์อายุเกิน 7 ปี
คงเคยได้ใช้บริการนี้มาบ้าง
เนื่องด้วยเวลาที่เข้าไปใช้บริการเป็นวันเสาร์เวลาประมาณ
15.30 น. ขณะที่เปิดประตูเข้าไปในห้องสำนักงานมีทั้งพนักงานและผู้มาใช้บริการหรือลูกค้าอยู่พอสมควร
พนักงานชายซึ่งอยู่ใกล้กับพนักงานหญิงสอบถามว่า
“มาทำอะไร?” ซึ่งผมได้ตอบกลับไปว่า
“มาตรวจสภาพรถ”
แต่คำตอบที่ได้ทำให้ผมต้องผงะ เมื่อพนักงานชายตอบว่า
“มาวันหลังได้หรือไม่? เครื่องปิดไปแล้ว” ผมจึงตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นไร
ไปร้านอื่นก็ได้”
พนักงานชายและหญิงไม่พูดจาใดๆ อีก ปล่อยให้ผมซึ่งเป็นลูกค้าเดินกลับออกมาแบบงงๆ
ซึ่งผมคงไม่กลับไปใช้บริการ ตรอ.
ชื่อนี้อีกนานหรือตลอดชั่วชีวิต
ธุรกิจส่วนใหญ่ต้องติดต่อกับลูกค้าเพื่อสร้างรายได้จากการขายหรือบริการ พนักงานต้อนรับเปรียบเหมือนหน้าตาของบริษัท หากไม่มีใจบริการ คำพูดเพียงประโยคเดียวอาจทำให้เสียลูกค้าตลอดไป
อีกทั้งโลกยุคปัจจุบันก็มีคู่แข่งเกิดขึ้นมากมาย ลูกค้าสามารถเปลี่ยนไปใช้บริการอื่นได้โดยง่าย
ดังนั้นผู้บริหารควรจะจัดให้มีการอบรมพนักงานต้อนรับก่อนเริ่มงานและอบรมเป็นระยะๆ รวมถึงหมั่นตรวบสอบพฤติกรรม เพื่อสร้างความพึงพอใจและความภักดีต่อแบรนด์ของลูกค้า หากพนักงานบริการลูกค้ารายอื่นๆ ด้วยวิธีเดียวกันนี้คงจะส่งผลลบกับองค์กรในระยะยาว
ที่กล่าวมาทั้งหมดทำให้ผมนึกถึงบทความต่างๆ
ที่ได้อ่านมาก่อนหน้า 2-3 เดือนจนถึงปัจจุบัน มีผู้มีความรู้หลายท่านได้เขียนถึงเทคโนโลยีหุ่นยนต์ที่นำมาใช้แทนแรงงานมนุษย์ เนื่องด้วยศาสตร์เรื่องปัญญาประดิษฐ์ (Artificial
Intelligence) หรือ AI
ซึ่งหมายถึงความฉลาดเทียมที่สร้างขึ้นให้กับสิ่งที่ไม่มีชีวิต
โดยนำหลักการ AI นี้มาใช้ในการพัฒนาหุ่นยนต์ให้มีความฉลาดเท่ากับมนุษย์ ทำให้หุ่นยนต์สามารถทำงานแทนคนได้
ตัวอย่างเช่นการรับโทรศัพท์และโต้ตอบกับคนได้โดยที่สายปลายทางไม่รู้เลยว่ากำลังคุยกับหุ่นยนต์อยู่
นอกจากนั้นในกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมก็ได้นำหุ่นยนต์มาใช้แทนแรงงานคนในหลากหลายอุตสาหกรรมแล้ว เนื่องจากหุ่นยนต์สามารถทำงานได้ 24 ชั่วโมงไม่ติดเรื่องข้อกฎหมายเหมือนแรงงานคน อีกทั้งยังมีความแม่นยำในการทำงาน ไม่บ่น ไม่เรียกร้องค่าแรงเพิ่มอีกด้วย
ตัวอย่างที่กระบวนการผลิตรถไฟฟ้า Tesla ที่เพิ่งมีคนจองหรือ
pre-order ล่วงหน้าไป 4-5 แสนคันนั้น ก็ได้ใช้หุ่นยนต์ในการผลิตเกือบทั้งหมด มีคนช่วยงานเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
ทั้งนี้หากผู้อ่านได้ติดตามข่าวก่อนหน้าที่ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ได้ประกาศลดคนงานเนื่องด้วยภาวะทางเศรษฐกิจนั้น
มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะนำหุ่นยนต์มาใช้ในการผลิตมากขึ้น
ซึ่งถ้าเป็นจริงก็ถือเป็นเรื่องปกติทางธุรกิจที่จะลดต้นทุนในการผลิตเนื่องจากค่าแรงเป็นต้นทุนคงที่ที่สูงตัวหนึ่ง โดยมีผู้ชำนาญการหลายท่านแสดงความเป็นห่วงต่อแรงงานคนในอนาคตว่าจะถูกหุ่นยนต์แย่งงานไปทำ
อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีหุ่นยนต์เกิดขึ้นมาแล้วและได้พัฒนาขึ้นมาตามลำดับ
ในอนาคตหลายอาชีพจะต้องถูกทดแทนด้วยหุ่นยนต์อย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว
ดังนั้นเราที่เป็นมนุษย์ก็ควรที่จะคิดพัฒนาตัวเองต่อไปหรือวางแผนอนาคตของตัวเองเผื่อไว้บ้าง
หากเรายังคงเป็นคนทำงานเช้าชามเย็นชาม ทำงานด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่มีใจรักในการทำงาน
จงตระหนักให้มากว่าอนาคตอาจจะไม่มีงานให้ทำก็เป็นได้ ในเมื่อมนุษย์เป็นผู้พัฒนาหุ่นยนต์ขึ้นมาให้มีความสามารถไล่ทันคน เราก็จำต้องพัฒนาตัวเองให้สูงกว่าหุ่นยนต์ยิ่งขึ้นไป
สำหรับเรื่องการลงทุนผู้อ่านคงได้ยิน “Robot Trade” กันมาบ้าง ซึ่งเป็นโปรแกรมที่เขียนขึ้นมาเพื่อใช้ในการเทรดผลิตภัณฑ์ในตลาดหลักทรัพย์ โดยพัฒนาอัลกอริทึ่มต่างๆ หรือพูดง่ายๆ
คือเงื่อนไขต่างๆ ในการซื้อขายหุ้น
โดยมีข้อดีคือไม่มีอารมณ์มาเกี่ยวข้องเหมือนคนที่มีความโลภ
ความกลัวเป็นพื้นฐาน
อย่างไรก็ดีเมื่อคนเป็นผู้เขียนโปรแกรม คนที่รู้อัลกอริทึ่มหรือเงื่อนไขก็สามารถสร้างราคาหลอกให้หุ่นยนต์ซื้อหรือขายได้
เห็นหรือไม่ว่ามนุษย์มีความสามารถขนาดไหน
อนาคตศาสตร์ AI คงนำมาใช้ใน Robot Trade เพิ่มขึ้น
แล้วคงได้เห็นว่าสุดท้ายหุ่นยนต์กับมนุษย์ใครจะเก่งกว่ากัน
สุดท้ายนี้กว่าที่หุ่นยนต์จะถูกนำมาใช้แทนแรงงานคนอย่างสมบูรณ์แบบนั้นคงต้องใช้เวลา หากเราไม่ตระหนักถึงอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น อาจจะส่งผลลบกับเราหรือลูกหลานเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สู้ๆ
ขอให้โชคดี มีสติครับ...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น