อยู่แบบพอเพียง…
วันที่ 13 ตุลาคม 2559 เป็นการสูญเสียอันยิ่งใหญ่ของปวงชนชาวไทย จากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พ่อหลวงของแผ่นดิน กระผมขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ และขอแสดงความอาลัย ณ.โอกาสนี้
เนื่องด้วยปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผู้เขียนเพิ่งสูญเสียมารดาอันเป็นที่รักยิ่งทำให้รู้สึกถึงความโศกเศร้ามากเป็นทวีคูณ แต่ประเทศชาติยังคงต้องเดินหน้าพัฒนาสืบต่อไปตามปณิธานของในหลวง
ส่วนประชาชนก็ยังคงต้องก้าวเดินต่อไปเพื่อร่วมกันสร้างสรรค์บ้านเมืองและตามเป้าหมายชีวิตของแต่ละบุคคล
หลังจากทราบข่าวการเสด็จสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่
9 เพื่อนของผู้เขียนได้พาครอบครัวกลับไปเยี่ยมบิดาที่ต่างจังหวัด
ซึ่งเขาไม่ได้กลับไปเยี่ยมเป็นเวลานานแล้วสาเหตุจากปัญหาที่ไม่เข้าใจกันบางอย่าง โดยพาภรรยาและลูกสาว 2 คนไปอยู่กับปู่เป็นเวลา
1 สัปดาห์
ทั้งนี้ผู้เขียนได้โทรศัพท์ไปพูดคุยขณะเพื่อนกลับบ้านที่ภาคใต้พอดี เพื่อนบอกว่าเห็นข่าวในหลวงสิ้นพระชนม์แล้วทำให้คิดถึงพ่อตัวเองขึ้นมาจับใจ จึงรีบกลับบ้านในวันเสาร์ที่ 15 ตุลาคมทันที
ก็นับเป็นเรื่องดีๆ เรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนอยากบอกเล่า
โดยเพื่อนได้โพสต์รูปที่ไปช่วยพ่อทำสวน รูปลูกสาวได้เล่นน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติ
เป็นภาพที่สวยงามและดูมีความสุขมากลงในเฟซบุ๊ก
ทำให้ผู้เขียนมีมุมมองหลายอย่างที่อยากนำเสนอ ข้อแรกหากใครที่ทำงานอยู่ห่างไกลพ่อแม่ควรหมั่นไปหาท่านหรืออย่างน้อยจะใช้สมาร์ทโฟนติดต่อท่านบ่อยๆ อย่าใช้คำว่า “เดี๋ยวก็ได้” เวลาไม่เคยรอใคร
จะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง
ปัจจุบันมีหลายคนที่หนีชีวิตในเมืองกลับไปใช้ชีวิตในชนบท ไปทำการเกษตร
ทำอาชีพที่สามารถอยู่ใกล้บ้านเพื่อจะได้มีเวลาดูแลพ่อแม่ ปรับวิถีชีวิตให้ใช้จ่ายอย่างพอเพียงตามหลักปรัชญา
“เศรษฐกิจพอเพียง” ของในหลวง ส่งผลให้ครอบครัวได้อยู่ใกล้ชิดกัน มีความสุขมากขึ้น
ในแง่ของการทำธุกิจ
ผู้เขียนได้ดูสารคดีเฉลิมพระเกียรติในหลวงเกี่ยวกับการใช้ชีวิตพอเพียง พระเอกของเรื่องมีอาชีพขายหมูแผ่นจากร้านเล็กๆ แล้วขยายธุรกิจด้วยการกู้ยืมเงินจำนวนมหาศาล
เพื่อสร้างโรงงานผลิตและเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ช่วงหลังมีการใช้จ่ายเงินไปกับสิ่งฟุ่มเฟือยต่างๆ
ที่มีราคาแพง
พ่อและภรรายาของพระเอกไม่เห็นด้วย
แต่พระเอกของเรื่องก็ยังคงเชื่อมั่นในแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ทำใหญ่ๆ
เข้าไว้
และแล้วก็เกิดเหตุการณ์ลดค่าเงินบาทในปี 2540 ทำให้ธุรกิจล้มทั้งยืน
เจ้าหนี้ธนาคารมาตามทวงหนี้ที่บริษัทพร้อมกันหลายราย เพื่อนที่ทำธุรกิจอื่นถึงขั้นจบชีวิตตัวเอง
นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของการทำธุรกิจที่ไม่อยู่บนความพอเพียง มีความเสี่ยง ถ้าทำสำเร็จก็จะร่ำรวยเป็นเศรษฐี แต่ครอบครัวก็ไม่มีความสุขเพราะไม่มีเวลาให้กับครอบครัว
(ในภาพยนตร์เรื่องนี้) ถ้าเราค่อยๆ
ทำ ค่อยๆ สร้าง
อาจจะโตช้ากว่ามากแต่ข้อดีคือ ธุรกิจไม่ล้มเพราะไม่ได้สร้างหนี้สินเกินตัวและครอบครัวก็มีความสุข
ในแง่ของการลงทุนก็เช่นเดียวกัน หากเราลงทุนเกินตัว เช่นไปกู้เงินคนอื่นมาลงทุนเป็นสิ่งที่อันตรายมากถ้าผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามคาด
ความต้องการผลตอบแทนสูงในระยะเวลาอันสั้นทำให้เร่งรีบเกิดข้อผิดพลาด ก่อให้เกิดความเครียด
แต่ถ้าเราลงทุนโดยใช้เงินออมที่เราสะสมไว้
และคาดหวังผลตอบแทนที่มากกว่าอัตราดอกเบี้ยธนาคารหรือสัก 5-10% ต่อปี ก็จะทำให้เราลงทุนแบบพอเพียงและมีความสุข
ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบสร้างผลตอบแทน
ไม่เกิดความเครียด ทั้งนี้จากการพูดคุยก็มีบางท่านไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว...ของแบบนี้นานาจิตตัง
ชีวิตต้องเลือกเสมอ ใครจะเลือกดำรงชีวิตแบบพอเพียง ฟุ่มเฟือยหรูหรา เป็นสิทธิ์ของท่าน ขอให้พร้อมที่จะยอมรับผลที่จะเกิดขึ้น เพราะเราเลือกเอง ขอให้โชคดี มีสติครับ...
“ภูผีเสื้อ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น