ลงทุนในหุ้นแบบผสม

บทความที่ผ่านมาก่อนหน้าได้กล่าวถึงการลงทุนแบบ VI  และการลงทุนแบบโมเมนตัมไปแล้ว    ทั้งนี้เมื่อผู้อ่านทำการศึกษาและลงทุนจนเกิดความชำนาญในการวิเคราะห์เชิงพื้นฐานและเชิงเทคนิค    เราสามารถนำการลงทุนทั้ง 2 รูปแบบนี้มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับตัวเองได้
 
การลงทุนรูปแบบนี้เรียกว่า “การลงทุนแบบผสม” หรือบางท่านอาจจะเรียกว่า “การลงทุนแบบไฮบริดจ์”  ตั้งชื่อให้ดูหรูหราไว้ก่อน เพื่อให้ดูน่าสนใจโดยหลักการจะนำเอาการลงทุนแบบ VI  ซึ่งอาศัยการวิเคราะห์เชิงพื้นฐานมาใช้ในการเลือกตัวหุ้นที่จะเข้าลงทุน

จากนั้นจะใช้การลงทุนแบบโมเมนตัมที่ใช้หลักการวิเคราะห์เชิงเทคนิคหรือกราฟเทคนิคในการหาจังหวะซื้อขายตัวหุ้นที่เลือกไว้     โดยปกติราคาหุ้นในระยะยาวแล้วจะมีผลประกอบการของบริษัทนั้นๆ เป็นตัวบ่งชี้   แต่ราคาอาจจะมีการผันผวนขึ้นลงตามอุปสงค์และอุปทานของตลาด

ถ้าเราจำแนกหุ้นในรูปของพื้นฐานและราคาออกเป็น 4 ประเภทคือ 1. หุ้นพื้นฐานดี  ราคาถูก    2. หุ้นพื้นฐานดี ราคาแพง  3. หุ้นพื้นฐานไม่ดี  ราคาถูก  4. หุ้นพื้นฐานไม่ดี  ราคาแพง      จะพบว่าประเภทที่ 1 มีความเสี่ยงต่ำที่สุด   ทั้งนี้จะมีคำถามตามมาว่ารู้ได้อย่างไรว่าราคาถูกหรือแพง  ซึ่งบางท่านอาจใช้การประเมินราคาจาก P/BV, P/E, Dividend หรือ DCF 

ในส่วนของกราฟเทคนิคเราสามารถดูได้ว่าราคาของหุ้นตัวนั้นอยู่ในแนวโน้มใด  แนวโน้มขึ้นหรือแนวโน้มลง  ใกล้แนวต้านหรือแนวรับ  อินดิเคเตอร์บอกถึงการซื้อมากไปหรือขายมากไปหรือไม่    ในส่วนนี้เราจำเป็นต้องกำหนดกลยุทธ์ในการซื้อขายของตนเอง   เช่นเราจะเข้าซื้อตอนราคาหุ้นในกราฟกลับตัวเป็นแนวโน้มขึ้นแล้วขายตอนหลุดแนวโน้ม

เราจะทยอยซื้อตอนแนวโน้มลงแล้วไปขายตอนราคาหุ้นกลับไปถึงราคาเป้าหมายที่เราประเมินไว้หรือขายเมื่อตกแนวโน้มขาขึ้น  แต่ถ้าซื้อแล้วราคาลงต่อเราหมดเงินแล้วก็ต้องอดทน  จะใช้ระยะเวลาลงทุนสั้นหรือยาวอย่างไร รายวัน  รายสัปดาห์ รายเดือน   ทุกอย่างอยู่ที่เรากำหนด

อย่างไรก็ดีในส่วนกลยุทธ์ในการลงทุนมีมากมายหลายแบบซึ่งผมจะนำขอเสนอในโอกาสต่อๆ ไป    และที่ผมได้เขียนบทความมาก่อนหน้าได้พยายามตอกย้ำกับผู้อ่านว่าเราจำเป็นต้องหาวิธีในการลงทุนของเราให้เจอ   ให้เหมาะกับจริตของเรา   นี่คือเหตุผลครับ  ไม่มีใครสามารถรวยได้จากคำบอกเล่าของคนอื่น

อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญมากคือวินัย เมื่อตอนแรกเราวางแผนซื้อหุ้นเพื่อเล่นรอบหรือเก็งกำไร  แต่เมื่อผลไม่ได้เป็นไปตามที่คาด   เราควรมีจุดตัดขาดทุน  ไม่ใช่ว่าพอติดหุ้นกลายเป็นว่าเราเป็น VI  ติดหุ้นไปอีกนานเท่าใดก็ไม่มีใครทราบ  หุ้นเต็มพอร์ตไปหมด นักลงทุนส่วนใหญ่ก็คงเคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มาก่อนรวมทั้งผมด้วย ฮ่าๆ   
        
สุดท้ายนี้การลงทุนก็มีหลากหลายรูปแบบ   มุมมองในการลงทุนของนักลงทุนในตลาดก็แตกต่างกัน  จริตของคนก็ไม่เหมือนกัน     เราสามารถเลือกได้ว่าต้องการลงทุนแบบใด  ความเสี่ยงและผลตอบแทนเท่าใด  คุณเท่านั้นที่จะกำหนดอนาคตของคุณเอง อย่าเอาอนาคตของคุณไปฝากไว้กับคนอื่น  ขอให้โชคดี มีสติครับ...

                                                                                                                          “ภูผีเสื้อ” 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แบกเป้ไปเที่ยวทีลอซู (1)

แบกเป้ไปเที่ยวแม่ระมาด แม่สอด

แบกเป้ไปเที่ยวพบพระ แม่สอด