การบริหารเงินลงทุน

บทความก่อนหน้าได้กล่าวถึงแนวทางการลงทุนแบบต่างๆ  รวมถึงจิตวิทยาการลงทุน    ซึ่งถ้าผู้อ่านได้ติดตามต่อเนื่องก็คงพอจะเห็นภาพใหญ่มากขึ้น     หากผู้อ่านตัดสินใจเริ่มลงทุนด้วยเงินออมของตัวเองบ้างแล้วก็จะเข้าใจเนื้อหาที่สื่อออกมาได้เป็นอย่างดี     สิ่งที่เหลือก็คือรอเวลาเพื่อทำให้เราได้รับประสบการณ์อันมีค่านี้

เรื่องที่สำคัญลำดับต่อๆมา ที่มือใหม่มองข้ามหรือมองไม่เห็นก็คือเรื่องการบริหารเงินลงทุน (Money Management)    ทั้งนี้เรื่องนี้อาจครอบคลุมถึงการวางแผนเป้าหมายทางการเงินของเราด้วย    เราจะจัดสรรเงินในการใช้จ่าย การออม การลงทุนอย่างไร การวางแผนที่ดีตั้งแต่อายุน้อยจะทำให้มีความได้เปรียบอย่างสูง

อย่างไรก็ดีในบทความนี้จะขอกล่าวถึงการบริหารเงินลงทุนในส่วนของตราสารทุนหรือตลาดหุ้น     เริ่มแรกผู้ลงทุนส่วนใหญ่จะมุ่งมั่นกับการเลือกซื้อหุ้นที่คาดว่าจะมีโอกาสสร้างกำไรที่เติบโตขึ้นในอนาคต    เมื่อเลือกได้แล้วก็จะทำการเข้าซื้อหุ้นตัวนั้นๆ   ส่วนการขายทำกำไรก็แล้วแต่แนวทางการลงทุนของแต่ละคน   ซึ่งมือใหม่ส่วนใหญ่จะเข้าซื้อเป็น  แต่ขายไม่เป็น (จะนำเสนอในบทต่อๆไป)

เมื่อลงทุนมาได้ระยะเวลาหนึ่งก็จะมีหุ้นของบริษัทต่างๆ เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ   ส่วนนี้เราจะเรียกว่า                “พอร์ตโฟลิโอ หรือ Portfolio   ซึ่งการบริหารเงินลงทุนหรือพอร์ตโฟลิโอนี้ก็มีส่วนสำคัญที่จะให้อัตราผลตอบแทนสูงหรือต่ำ   แสดงให้เห็นภาพง่ายขึ้นโดยยกตัวอย่างดังนี้   มีผู้ลงทุน 3 คน คือ A, B และ มีเงินลงทุนเท่ากันที่ 100,000 บาท

ตัวอย่างที่ 1  A ถือหุ้น  3  ตัว   หุ้นกลุ่มรับเหมา  50%,  กลุ่มธนาคาร 30% และ กลุ่มท่องเที่ยว 20%
ตัวอย่างที่ 2  B ถือหุ้น 3 ตัว     หุ้นกลุ่ม ICT 50%, กลุ่มธนาคาร 30% และ กลุ่มท่องเที่ยว 20%
ตัวอย่างที่ 3  C ถือหุ้น 4 ตัว     หุ้นกลุ่มรับเหมา 25%, กล่ม ICT 25%, กลุ่มธนาคาร 25%, และท่องเที่ยว 25%

จากตัวอย่างจะพบว่า A คาดการณ์ว่ากลุ่มรับเหมาจะดีจึงให้น้ำหนักของพอร์ตโฟลิโอไปไว้ที่กลุ่มรับเหมา  ซึ่งถ้ากลุ่มรับเหมามาจริงก็มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูงสุด    ส่วน B ให้น้ำหนักไปที่กลุ่ม ICT   ถ้ากลุ่ม ICT ดีก็จะโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงสุด   สุดท้าย C ให้น้ำหนักเท่ากัน 4 กลุ่ม เพื่อลดความเสี่ยงอาจจะได้กำไรน้อยกว่า A และ B

อย่างไรก็ตามตัวอย่างนี่เป็นเพียงเหตุการณ์สมมุติ    ซึ่งผู้ลงทุนจำเป็นต้องคาดการณ์อนาคตว่าธุรกิจใดกำลังจะดีหรือเติบโตและวางแผนบริหารเงินลงทุนหรือจัดพอร์ตโฟลิโอตามความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้   ทั้งนี้เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ขึ้นกับกลยุทธ์ของเรา

การบริหารเงินลงทุนอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญคือการเตรียมเงินสดไว้  เพราะวัฏจักรของหุ้นหรือราคาหุ้นนั้นมีการขึ้นลง   เมื่อเราซื้อหุ้นจนเต็มพอร์ตแล้ว  อาจจะ 5 ตัว  10 ตัว หรือ  20 ตัว (มือใหม่จะฟังคนบอกว่าหุ้นตัวนั้นดี ตัวนี้ดี ซื้อหมดและจะติดตามผลไม่ทัน)  เราจะไม่มีเงินสดเหลือติดตัว

ครั้นเมื่อหุ้นตกลงมาอีกรอบหนึ่ง   หุ้นจะมีราคาค่อนข้างถูกแต่เราไม่มีเงินที่จะซื้อหุ้นถูกนั้นซึ่งผมก็เคยเจอมาแล้วได้แต่นั่งทำตาปริบๆ ล่ะครับ      นอกจากไม่มีเงินแล้วอาจจะติดดอยเป็นของสมนาคุณด้วย  ฮ่าๆๆ  เพราะฉะนั้นแล้ววิธีแก้คือหุ้นบางตัวที่ถึงเป้าหมายแล้ว  หรือถึงจุดขายก็ควรขายทำกำไรเก็บเงินสดไว้รอซื้อของถูกบ้างครับ     

นอกจากนั้นยังมีเหตุการณ์จิตวิทยาการลงทุนซึ่งไม่เกี่ยวกับพื้นฐานหุ้น เช่น  สึนามิที่ญี่ปุ่น  น้ำท่วมใหญ่  หุ้นราคาลดต่ำลงจนถูกมาก  ช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงโปรโมชั่นลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลส์   ถ้าเราไม่มีเงินสดซื้อก็ถือเป็นเรื่องน่าเสียดาย ดังคำว่า “เงินสดคือพระเจ้า หรือ Cash is God”                 

ในทางกลับกันเมื่อหุ้นตกตอนเข้าซื้ออาจจะเป็นเพราะเราคาดการณ์ผิด   ถ้าเราเป็นนักลงทุนแนวโมเมนตัมอาจจำเป็นต้องขายไปก่อนเพื่อหยุดขาดทุนแล้วถือเงินสดไว้    หากเราเป็นนักลงทุนแนวคุณค่าและเราประเมินดีแล้วว่าราคาถูก   เราอาจจะอดทนถือต่อไปหรือซื้อเพิ่มขึ้นอยู่กับเงินทุน  ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของแต่ละคน 

เรื่องการบริหารเงินลงทุนเป็นเรื่องที่ผมรู้ทีหลัง   ผมติดดอยมาก่อนจึงทำให้ผมสามารถถ่ายทอดประสบการณ์นี้ให้กับผู้ลงทุนมือใหม่จะได้ไม่เดินตามรอยผม   ผมหวังว่าคงจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยช่วยให้ผู้อ่านข้ามผ่านเหตุการณ์นี้ไปด้วยรอยยิ้ม     ขอให้โชคดี มีสติครับ...
                                                                                                                          “ภูผีเสื้อ” 


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แบกเป้ไปเที่ยวทีลอซู (1)

แบกเป้ไปเที่ยวแม่ระมาด แม่สอด

แบกเป้ไปเที่ยวพบพระ แม่สอด