ใครอยากรวย? ยกมือขึ้น

คนส่วนใหญ่หรืออาจจะทุกคนมีความคาดหวังว่าจะรวยทรัพย์ รวยสุข   เริ่มต้นชีวิตการทำงานด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม     เริ่มจากเป็นลูกจ้างเก็บหอมรอบริมเงินทองเพื่อเป็นทุนทรัพย์   รวมถึงเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานเพื่อนำไปต่อยอดในการสร้างธุรกิจของตัวเองต่อไป

เมื่อทำงานมาได้สักระยะหนึ่งจนเกิดความชำนาญก็จะก้าวสู่ขั้นต่อไปคือการสร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง     ในขั้นตอนนี้จำเป็นต้องทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดที่มีเช่น แรงกาย  เงินทุน  สติปัญญา ลงไปเพื่อให้ธุรกิจที่ก่อร่างสร้างกับมือประสบความสำเร็จ     

โดยส่วนใหญ่คนที่จะร่ำรวยหรือล้มเหลวก็อยู่ในช่วงนี้ซึ่งเราจะแบ่งตามผลลัพธ์ที่ได้ออกเป็น 3 กลุ่ม  คือ 1. กลุ่มที่ประสบความสำเร็จ   2.  กลุ่มที่ล้มเหลวแล้วกลับมาได้  3. กลุ่มที่ล้มเหลวแล้วกลับมาไม่ได้   

สำหรับกลุ่มที่ 1 ต้องขอแสดงความยินดีด้วย  ส่วนกลุ่มที่ 2 เมื่อล้มเหลวแล้วได้ประสบการณ์ทำให้แข็งแกร่งมากขึ้นและสามารถกลับมาได้     ส่วนกลุ่มที่ 3 ล้มเหลวแล้ว  10 ปีก็ยังไม่สามารถกลับมาได้  อย่าคิดว่าทำธุรกิจนี้ล้มเหลวแล้วเปลี่ยนธุรกิจใหม่จะสำเร็จเสมอไป   ในโลกแห่งความเป็นจริงล้มแล้วก็ล้มอีกได้!

ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็มีหลายปัจจัย   ทั้งปัจจัยภายใน เช่น ความรู้ความเข้าใจในธุรกิจ  การบริหารจัดการองค์กรภายใน  การเงิน  ฯ     ส่วนปัจจัยภายนอกเช่นภาวะเศรษฐกิจของบ้านเราหรือของโลก  การเงินของคู่ค้า ฯ

อย่างไรก็ดีมีอยู่ปัจจัยหนึ่งที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นชัดขึ้นคือ  เมื่อผู้ประกอบการอยากจะให้ธุรกิจโตไวก็คือการรับงานที่ใหญ่เกินความสามารถทางการเงินที่ตัวเองรับได้   และการขยายองค์กรให้ใหญ่ขึ้น   รวมถึงการก่อหนี้ที่สูงจนละเลยถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดจากธุรกิจในภายภาคหน้า   ตัวอย่างเช่น

เมื่อเศรษฐกิจตกนั้น   รายได้จะลดลงตามไปด้วยแต่หนี้สินที่ต้องผ่อนชำระไม่ได้ลดลงตามทำให้เกิดปัญหาขาดสภาพคล่องหรือกระแสเงินสดในการดำเนินธุรกิจ      นอกจากนั้นปัญหาที่เกิดจากการเงินของคู่ค้าทำให้ไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้   ส่งผลให้ธุรกิจได้รับความเสียหายไม่สามารถบริหารต้นทุนต่างๆที่เพิ่มขึ้นจากการขยายองค์กรได้

หากผู้ประกอบการรายใดค่อยๆ ดำเนินธุรกิจ   และค่อยๆ ขยายกิจการออกไป  ไม่เร่งรีบ  ก่อหนี้น้อย   มีกระแสเงินสดหมุนเวียนตลอดเวลา     อาจจะทำให้การเติบโตขององค์กรโตช้าแต่จะเป็นไปด้วยความมั่นคง   เมื่อเจอกับปัญหาเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า  

บทสรุปที่เห็นคือการทำธุรกิจที่ต้องการรวยเร็วนั้นย่อมมีความเสี่ยงสูงมากตามไปด้วย         แต่ผู้ที่ประสบความสำเร็จนั้นก็มีอยู่เช่นเดียวกัน     การทำธุรกิจนั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ซึ่งผมก็คงไม่สามารถฟันธงได้ว่าแบบไหนจะดีกว่ากัน    ถ้าเป็นผู้อ่านจะเลือกทำธุรกิจแบบโตเร็วหรือโตช้าครับ?

อย่างไรก็ตามเมื่อมองเปรียบเทียบกับการลงทุนในหุ้นนั้น    การลงทุนที่ต้องการโตเร็วนั้นย่อมมีความเสี่ยงสูงตามไปด้วย   ตัวอย่างเช่นการซื้อหุ้นลงทุนอาจจะถือเพียง 1-2 ตัวเท่านั้น   แต่ถ้านักลงทุนคนใดต้องการเสี่ยงต่ำก็กระจายความเสี่ยงด้วยการซื้อหุ้นหลายตัวไว้ในพอร์ต

นอกจากนั้นการลงทุนที่เกินตัว  เช่นอาจใช้บัญชีมาร์จิ้น คือกู้เงินจากโบรกเกอร์มาลงทุน ก็นับเป็นความเสี่ยงเช่นเดียวกัน         ทั้งนี้ในวงการหุ้นก็มีผู้คนที่พยายามคิดค้นหาวิธีในการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงแต่ความเสี่ยงต่ำ   ลองหาอ่านดูนะครับ

สุดท้ายนี้การลงทุนทำธุรกิจหรือหุ้นนั้นไม่มีอะไรตายตัว   ทุกอย่างขึ้นกับเป้าหมาย  รวมถึงการยอมรับความเสี่ยงของนักลงทุนคนนั้นๆ    เราจำเป็นต้องหาแผนการลงทุนของเราให้เจอ ทำแล้วมีความสุขควบคู่ไปด้วย  ชีวิตต้องเลือกครับ แต่ขอให้เราเป็นคนเลือก....แฟนของเราเองนะ! ฮ่าๆๆ ขอให้โชคดี มีสติครับ...

                                                                                                                          “ภูผีเสื้อ” 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แบกเป้ไปเที่ยวทีลอซู (1)

แบกเป้ไปเที่ยวแม่ระมาด แม่สอด

แบกเป้ไปเที่ยวพบพระ แม่สอด